วัดท่าตำหนัก
วัดท่าตำหนัก
พระองค์ทรงมีรับสั่งให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ( พระอนุชา ) ยกกองทัพไปปราบทัพพม่าที่ยกกองทัพมา พระองค์ทรงยกกองทัพผ่านคลองบางแก้ว เมื่อถึงบริเวณที่สร้างวัดท่าตำหนักเป็นเวลามืด ได้จัดให้กองทัพที่ยกมาพักแรมเป็นเวลาหนึ่งคืน ประชาชนจึงขนานนามตรงที่ทรงประทับพักแรมนั้นว่า
“ ท่าตำหนัก” ต่อมาได้มีประชาชนสร้างวัดขึ้นในบริเวณนั้น จึงขนานนามวัดนั้นว่า “วัดท่าตำหนัก” เพื่อเป็นมงคลนามแก่สถานที่นั้นและได้มีพระอยู่จำพรรษาสืบต่อมาจนกระทั่งประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๐ สมัยที่จัดการปกครองออกเป็นมณฑล ( จังหวัดนครปฐม เดิมเป็นมณฑลนครชัยศรี ) ที่ตั้งมณฑลนครชัยศรีปัจจุบันเป็นที่ตั้งว่าการอำเภอนครชัยศรี สมัยนั้นมีพระพุทธวิถีนายก ( บุญ ขนÚทโชติ ) เป็นเจ้าคณะมณฑลปกครองดูแลไปจนถึงจังหวัดสุพรรณบุรี ปรากฏว่าวัดท่าตำหนักนี้เป็นวัดร้างไม่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา จนกระทั่งเจ้าคณะมณฑลนครชัยศรีมรณะภาพลง ทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้พระครูสุทธิสุนทร ( วงศ์ โอทาตวณÚโณ )
เจ้าอาวาสวัดสัมปทวนในขณะนั้น เป็นรักษาการในตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลนครชัยศรี ( ต่อมาพระครูสุทธิสุนทร
ได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสปกครอง วัดเสน่หา พระอารามหลวงชั้นตรี อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ภายหลังได้รับพระราชทานเลื่อนสมณะศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมเจติยาจารย์) ครั้นมาถึง พ.ศ. ๒๔๗๔ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ทรงทราบจากพระครูสุทธิสุนทรว่า วัดท่าตำหนักเป็นวัดร้าง ไม่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษาและมีประชาชนอยู่มาก จึงมีพระบัญชาให้พระครูสุทธิสุนทรจัดส่งพระที่วัดสัมปทวนไปเป็นเจ้าอาวาส เพื่อให้ประชาชนได้บำเพ็ญกุศลในโอกาสเทศกาลต่าง ๆ พระครูสุทธิสุนทรจึงได้ส่ง พระปลัดนัด ซึ่งมาจากวัดสัตตนาถปริวัต จังหวัดราชบุรี ซึ่งมาอยู่จำพรรษาที่วัดสัมปทวนไปเป็นเจ้าอาวาส พร้อมด้วยพระภิกษุที่วัดสัมปทวน ไปอยู่จำพรรษาที่วัดท่าตำหนัก และได้พัฒนาวัดให้เจริญโดยลำดับ พระปลัดนัดได้อยู่จำพรรษาที่วัดท่าตำหนักเป็นเวลา ๘ พรรษา จึงได้ย้ายจากวัดท่าตำหนักไปอยู่ที่ วัดเกตุการาม อำเภอบางคณฑี จังหวัดสมุทรสงคราม วัดท่าตำหนักจึงขาดเจ้าอาวาส พระปฐมนคราจารย์ ( หรือ พระครูสุทธิสุนทร ในขณะนั้น ) เป็นเจ้าอาวาสวัดสัมปทวนและเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ได้จัดส่งพระราชวุฒาจารย์ ( นาค อิสินาโค ) เมื่อครั้งเป็นพระครูสมุห์นาค อิสินาโค จากวัดสัมปทวนมาเป็นเจ้าอาวาสแทนพระปลัดนัด เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ และได้บูรณะปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุต่าง ๆ เช่น สร้างกุฏิ โบสถ์ ศาลาการเปรียญ โรงเรียนพระปริยัติธรรม โรงเรียนประชาบาล และอื่น ๆ อีก จนเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับ และหลังจาก พระราชวุฒาจารย์ ( นาค อิสินาโค) มรณะภาพลง ในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ตรงกับวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ สิริรวมอายุ ๘๙ ปี ๖๔ พรรษา นับจากท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดท่าตำหนัก เป็นเวลาถึง ๔๕ ปี ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ - ๒๕๓๖ ถาวรวัตถุต่าง ๆ ก็ได้ทรุดโทรมลงโดยลำดับ
คณะศิษย์นำโดย พระราชธรรมสุธี ( สมชาย วรชาโย ) สมณะศักด์ในขณะนั้น ( พ.ศ. ๒๕๓๖ ) ปัจจุบันดำรงสมณะศักด์ เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ที่ พระพรหมเมธี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๑-๒-๓ และ ๑๒–๑๓ (ธรรมยุต) รองแม่กองธรรมสนามหลวง ฝ่ายนักธรรม เลขาธิการคณะธรรมยุต และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ได้มาเห็นสภาพภายในบริเวณวัดและเสนาสนะที่ทรุดโทรมขาดผู้ดูแล อีกทั้งภายในวัดก็มีแต่พระหนุ่มเณรน้อย ๖-๗ รูป ยังอ่อนพรรษาและด้อยความคิดอ่าน จึงได้มีดำริที่จะพัฒนาปรับปรุงเสนาสนะและบริเวณโดยรอบ ให้แลดูสวยงามและสะอาดเป็นที่เจริญหูเจริญตาแก่ผู้พบเห็นและสัญจรผ่านไปมา ไม่ว่าจะเป็นบริเวณภายในวัด นอกวัด และโรงเรียนประชาบาล ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัด
ภายในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ทางคณะสงฆ์ก็ได้แต่งตั้งให้ พระมหาประพิณ โกสโล ป.ธ. ๙ ซึ่งขณะนั้นยังศึกษาอยู่ที่กรุงเทพ ฯ และจำพรรษาอยู่ที่วัดตรีทศเทพ เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าตำหนักที่ว่างลง ต่อมาพระมหาประพิณ โกสโล ก็ได้ลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ. ๒๕๓๘
ในปีเดียวกันนั้น ทางคณะสงฆ์ก็ได้แต่งตั้งให้ พระครูปลัดกฤษฎา สุภทÚโท ฐานานุกรมใน
พระราชธรรมสุธี (สมชาย วรชาโย ) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๔ ได้รับเลื่อนสมณะศักดิ์เป็น พระครูปลัดสุวัฒนเมตตาคุณ ฯ ฐานานุกรมใน พระพรหมเมธี ( สมชาย วรชาโย ) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๑ - ๒ - ๓ และ ๑๒ - ๑๓ (ธรรมยุต) รองแม่กองธรรมสนามหลวง ฝ่ายนักธรรม เลขาธิการคณะธรรมยุตและผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส